Granola กราโนล่า อาหารว่างธัญพืชผสมน้ำผึ้ง อาหารเพื่อสุขภาพระหว่างมื้อหลัก ช่วยควบคุมน้ำหนัก จากการลดปริมาณการรับประทานอาหารมื้อหลัก
ธัญพืชอบกรอบ
ใช้ส่วนผสมในส่วนของธัญพืช ผลไม้อบแห้ง และน้ำผึ้ง จำนวน 9 ชนิด ประกอบด้วย
1.
ข้าวโอ๊ต ชนิดโรลโอ๊ต
2.
เมล็ดอัลมอนต์แบบแท่ง
3.
เม็ดมะม่วงหิมพานต์
4.
เมล็ดฟักทองกะเทาะเปลือก
5.
เมล็ดทานตะวันกะเทาะเปลือก
6.
ลูกเกดขาว และลูกเกดดำ
7.
งาขาวและงาดำ
8.
แครนเบอรี่อบแห้ง
9.
น้ำผึ้งดอกลำไยแท้ 100 %
คุณประโยชน์จากธัญพืช และส่วนประกอบของกลาโนร่า ชนิดต่างๆ มีดังต่อไปนี้
คุณประโยชน์จากธัญพืช และส่วนประกอบของกลาโนร่า ชนิดต่างๆ มีดังต่อไปนี้
1.
ข้าวโอ๊ต หนึ่งในสุดยอดอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
และนิยมทานกันอย่างแพร่หลายในหมู่ผู้รัก
สุขภาพ
และ คนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งนิยมนำมาทำเป็นอาหารเช้าและ
เป็นส่วนผสมในอาหารคลีนได้
หลากหลายเมนู ด้วยที่ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูงแต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีนอกจากนี้ในข้าวโอ๊ตยังมีประโยชน์และคุณค่าทางอื่นๆอีกมากมาย
หลากหลายเมนู ด้วยที่ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูงแต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีนอกจากนี้ในข้าวโอ๊ตยังมีประโยชน์และคุณค่าทางอื่นๆอีกมากมาย
กว่าจะมาเป็นข้าวโอ๊ต ข้าวโอ๊ตถือว่าเป็นพืชที่ใช้เป็นอาหารที่มีประวัติอันยาวนาน
เริ่มมีการเพาะปลูกข้าวโอ๊ตบริเวณตอนกลางของยุโรปมาตั้งแต่ 1000 ก่อนคริสตกาล
แต่ในยุคแรกสมัยที่กรีกและโรมันโบรานเรืองอำนาจ ข้าวโอ๊ตถูกมองว่าเป็นอาหารต่ำต้อยที่ใช้เลี้ยงสัตว์
และความเชื่อนี้ก็ค่อยๆหายไปเมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายไป
ต่อมาข้าวโอ๊ตถูกนำเข้ามาในประเทศอเมริการาวๆ ปี ค.ศ. 1600 โดยนักสำรวจชาวยุโรป
และเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
ใช้ปรุงและเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายๆชนิดจนมาถึงปัจจุบัน
ประเภทของข้าวโอ๊ตข้าวโอ๊ตถูกแบ่งประเภทออกเป็น
3 แบบใหญ่ๆตามลักษณะของเนื้อข้าวโอ๊ตและวิธีการผลิต
โอ๊ตมีล จะมีลักษณะเป็นผงหยาบๆ
เมื่อนำมาเติมน้ำหรือนมจะมีลักษณะคล้ายๆโจ๊ก หรือข้าวต้ม
โดยโอ๊ตมีลจะได้จากการสับเมล็ดข้าวโอ๊ตออกเป็นชิ้นหยาบๆจึงทำให้สารอาหารยังอยู่ครบถ้วน
รวมถึงส่วนของรำข้าวโอ๊ต
ด้วย
เราจะคุ้นตากับการนำโอ๊ตมีลมาเติมนมหรือน้ำ
ต้มให้สุกและทานคู่กับผลไม้เป็นอาหารเช้า
โรลโอ๊ตมีลักษณะเป็นเกร็ดคล้ายๆกับซีเรียล
โดยโรลโอ๊ตจะได้จากการนึ่งข้าวโอ๊ตให้สุกจากนั้นมามาทับกดให้แบนด้วยลูกกลิ้ง
และนำมาอบให้แห้งอีกครั้ง โดยโรลโอ๊ตนิยมนำมาเป็นส่วนผสมของขนมอบ และ
นำมาผสมกับผลไม้แห้ง ถั่ว หรือที่เรียกว่า มูสลี่และกราโนล่านั่นเอง
ข้าวโอ๊ตสำเร็จรูปพร้อมทานข้าวโอ๊ตสำเร็จรูป
พร้อมทานจะมีลักษณะและการผลิตเหมือนกับโรลโอ๊ตคือจะทำให้ข้าวโอ๊ตสุกเสียก่อนด้วยการนึ่งซึ่งจะใช้เวลานานกว่าโรลโอ๊ตเมื่อให้ข้าวโอ๊ตสุกเต็มที่ก่อนที่จะนำสับและมาอบให้แห้ง
และทำการปรุงรสต่างๆเพื่อให้ทานได้ง่าย และสะดวกกับผู้รับประทาน
เพราะเพียงเติมน้ำร้อนก็จะได้ซุปนุ่มๆหวานๆโดยไม่ต้องเติมอะไรอีก
หลากหลายประโยชน์ของข้าวโอ๊ตข้าวโอ๊ตถือเป็นธัญพืชชนิดไม่ขัดสี
ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้มากมาย ทั้งโรคหัวใจและความดันโลหิต
อุดมไปด้วยวิตามิน B
ธาตุเหล็ก เม็กนีเซียม และสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีอย่างมากมาย
·คอเรสเตอรอลต่ำการทานข้าวโอ๊ตเป็นประจำสามารถช่วยลดปริมาณคอเรสเตอรอลได้โดยเฉพาะไขมันชนิดเลวอย่าง
LDL และช่วยเพิ่มไขมันดีให้กับร่างกาย
จึงไม่น่าสงสัยเลยที่ข้าวโอ๊ตจะถูกแนะนำเป็น หนึ่งใน 5
ของอาหารที่ช่วยจัดการปัญหาระดับคอลเรสเตอรอลในร่างกายได้
ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตันและโรคหัวใจ
·โปรตีนสูงในข้าวโอ๊ตมีโปรตีนและกรดอมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายมากถึง
6 ชนิด โดยแป้งในข้าวโอ๊ตนั้นถือเป็นแป้งที่ย่อยง่าย
เพราะมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่ช่วยในการย่อย มีไขมันต่ำ
และเกือบทั้งหมดเป็นไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อน ที่ดีต่อร่างกาย
·ลดน้ำหนักข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยใยอาหาร
ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ช่วยลดอาการท้องผูก ลดการดูดซึมน้ำตาล ไขมันและ ของเสียต่างๆ
นั้นหมายถึงเมื่อเราทานข้าวโอ๊ตในมื้อเช้า จะทำให้เราได้รับพลังงาน
และเติมกระเพาะของเราทำให้อิ่มอยู่ได้นาน
ซึ่งดีกว่าการทานอาหารเช้าที่มีน้ำตาลและไขมันสูงๆ ที่จะทำให้รู้สึกหิวเร็วขึ้น
·มีเบต้ากลูแคน
ซึ่งเป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี
มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย
โดยมีงานวิจัยรับรองจาก องค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) ว่า
หากร่างกายได้รับเบต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวัน อาจช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้
จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอล
และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรับประทานควบคู่กับอาหารชนิดอื่นให้หลากหลายด้วย
สารอาหารในข้าวโอ๊ต100
กรัม
พลังงาน 389 kcal
คาร์โบไฮเดรต 66 g.
โปรตีน 17 g.
ไขมัน 7 g.
ใยอาหาร 11 g.
1.
เมล็ดฟักทอง
มีองค์ประกอบทางเคมีหลายชนิด มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ประกอบด้วย โปรตีน
ไขมัน
สังกะสี เหล็กฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร วิตามินเอ รวมทั้งสารที่ชื่อว่า
"คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี
และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้
น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี
และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ ขึ้น
และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
ประโยชน์ของเมล็ดฟักทองเพื่อผู้หญิงสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก
"เมล็ดฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ"ตัวช่วย"
ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง
ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในเมล็ดฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง
จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณ มีน้ำมีนวล
นอกจากนี้สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "เมล็ดฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น
จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย
ประโยชน์ของเมล็ดฟักทอง
1.)
ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด
2.)
ช่วยแก้ปัญหาโรคหลอดเลือดอุดตันได้
3.)
ช่วยยับยั้งการเกิดผลึกนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้
4.)
เมล็ดฟักทองเป็นแหล่งของใยอาหาร
5.)
ช่วยเพิ่มปริมาณกากอาหาร
6.)
ทำให้ขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกายเร็วขึ้น และทำให้กากอาหารนิ่ม
7.) ลดอัตราการเกิดของโรคผนังลำไส้โป่งพอง
8.) ช่วยขับพยาธิ
พยาธิตัวตืด พยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวกลม พยาธิใบไม้
1.
อัลมอนด์ (Almond) เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนการสูง
จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในสิบของสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ
ประโยชน์ของอัลมอนด์
1. ให้พลังงานสูง
ไขมันดี ทานแล้วไม่อ้วน อัลมอนด์ 1 เม็ด ให้พลังงาน 7 แคลอรี่
2.
ในบรรดาถั่วเปลือกแข็งทั้งหลาย อัลมอนด์มีสารอาหารมากที่สุด โดยเฉพาะโปรตีน
จึงช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
ถ้าเทียบตามน้ำหนักแล้วอัลมอนด์ให้โปรตีนสูงถึง 21.15%
3. บำรุงประสาท
บำรุงสมอง
ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในอัลมอนด์มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอย่างโอเมก้า
3 และโอเมก้า 6 ในปริมาณสูง
4.
ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึม วิตามิน B6 ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึมในการเผาผาญโปรตีน
ที่จะนำไปซ่อมแซมเซลล์สมอง วิตามิน B6
ยังช่วยเพิ่มขบวนการสร้างสารสื่อประสาท ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์กินสัน
5.
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด
โดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 6 ที่มีความสำคัญในการลดการอุดตันของเส้นเลือด
การรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยเพิ่มระดับ HDL ซึ่งเป็นไขมันดี
และลดระดับไขมันเลวหรือ LDL มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่า
หากรับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 2 หยิบมือจะช่วยลดระดับ LDL ได้ถึง
9.4%
6.
การรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยในเรื่องโรคหัวใจโดยตรง
เมื่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดน้อย เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำงานได้ดี
กรดโฟลิกในอัลมอนด์ยังช่วยในการสลายไขมันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด
ช่วยลดการอักเสบของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยีดหยุ่นดีขึ้น
มีรายงานการวิจัยว่าการรับประทานอัลมอนด์สัปดาห์ละ 5 ครั้ง
จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจวายได้มากถึง 50 %
7.
ป้องกันโรคเบาหวาน เพราะจะไปช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
8.
อัลมอนด์มีโพแทสเซี่ยมสูง
ซึ่งนั่นจะเป็นตัวช่วยลดปริมาณโซเดี่ยมในร่างกายและช่วยลดความดันเลือด
ลดความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
9.
มีประโยชน์สำหรับผู้ชายสูงอายุ เพราะโพแทสเซี่ยมที่พบในปริมาณที่มาก
จะไปทำงานร่วมกับสารตัวอื่นๆในอัลมอนด์ เพื่อช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterrone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่สำคัญที่สุดของผู้ชาย
10.
ช่วยลดการเกิดโรคกระดูกพรุน ทำให้ฟันแข็งแรง
เพราะอัลมอนด์มีแคลเชี่ยมและแมกนีเซี่ยมอยู่ในปริมาณที่สูง
11.
ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามิน B วิตามิน E
และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่พบในเมล็ดอัลมอนด์แช่น้ำ
และอัลมอนด์ยังมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่ต่ำอีกด้วย
12.
ช่วยเรื่องผิวพรรณ บำรุงผม และเล็บ เพราะอัลมอนด์มีแร่ธาติ ไขมันและวิตามินอีสูง
13.
เหมาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เพราะมีโฟเลตและสารที่ช่วยการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
และช่วยลดอัตราการเกิดภาวะผิดปรกติของทารกในครรภ์
14.
เส้นใยอาหารในอัลมอนด์ ช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานเป็นปรกติ จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก
และลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้
15. ธาตุสังกะสี
และแร่ธาตุต่างๆจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุมกัน
และช่วยป้องกันสมองจากสารอนุลมูลอิสระ
16.
กรดไขมันในโอเมก้า 3
จะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทในสมองที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อสัญญานข้อมูลภายในเซลล์สมอง
ทำให้เซลล์สมองทำงานได้ดีขึ้น ยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความตึงเครียด
17.
ช่วยในการลดน้ำหนัก เมื่อทานอัลมอนด์เป็นอาหารว่างแทนขนมหวาน หรือของกินจุกจิก
เพราะอัลมอนด์จะมีใยอาหารที่อุ้มน้ำได้เยอะ ทำให้รู้สึกอิ่ม
เวลาที่ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนก็จะทำให้ไม่ค่อยหิว
18.
มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะสาร Alpha-tocopherolที่พบในวิตามิน E
เท่านั้น จึงช่วยชลอการเกิดริ้วรอย ทำให้แก่ช้า อัลมอนด์ 30 กรัม
ประมาณ 1 กำมือ ให้วิตามิน E ในปริมาณ 65%
ที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน
19. ข้อมูลจาก Nurses’ Health Study รายงานว่าผู้หญิงกว่า 80,000 คน ที่รับประทานอัลมอนด์เป็นประจำ
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ออนซ์ สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคนิ่วได้มากถึง
25%
นอกจากนี้แล้วมีรายงานว่าผู้ที่ทานวิตามิน E หรืออัลมอนด์เป็นประจำ
จะลดอัตราการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ถึง 50%
20.
นมอัลมอนด์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่แพ้โปรตีนในน้ำนมวัว
และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ชายที่ไม่ต้องการดื่มน้ำนมถั่วเหลืองที่มี ไฟโตเอสโตรเจน
(Phytoestrogen)
ที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน จนทำให้การผลิตอสุจิน้อยลง ทำให้มีลูกยาก
สารอาหารในอัลมอนด์
จากรายงานของ USDA
Food Composition Databases เมล็ดอัลมอนด์ 100 กรัม
มีส่วนประกอบโดยประมาณ ดังต่อไปนี้
• พลังงาน 579 กิโลแคลอรี่
• น้ำ 4.41 กรัม
• โปรตีน 21.15 กรัม
• คาร์โบไฮเดรต 21.55 กรัม
• ไฟเบอร์ 12.5 กรัม
• น้ำตาล 4.35 กรัม
ไขมัน
• ไขมันอิ่มตัว 3.802 กรัม
• ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว 31.551 กรัม
• ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน 12.329 กรัม
แร่ธาตุต่างๆ
• แคลเซี่ยม 269 มิลลิกรัม
• แมกนีเซี่ยม 270 มิลลิกรัม
• ธาตุเหล็ก 3.71 มิลลิกรัม
• ฟอสฟอรัส 481 มิลลิกรัม
• โพแทสเซี่ยม 733 มิลลิกรัม
• โซเดี่ยม 1 มิลลิกรัม
• ธาตุสังกะสี 3.12 มิลลิกรัม
• ธาตุแมงกานีส 2.285 มิลลิกรัม
วิตามิน
• วิตามิน B1 (Thiamine) 0.205 มิลลิกรัม
• วิตามิน B2 (Riboflavin) 1.138 มิลลิกรัม
• วิตามิน B3 (Niacin) 3.618 มิลลิกรัม
• วิตามิน B5 0.469
มิลลิกรัม
• วิตามิน B6 (Pyridoxine) 0.137 มิลลิกรัม
• วิตามิน E (alpha tocopherol) 25.63 มิลลิกรัม
• โฟเลต 44 ไมโครกรัม
• โคลีน 52.1
มิลลิกรัม
2.
สรรพคุณของมะม่วงหิมพานต์แพทย์ในอินเดียใช้เมล็ดเลี้ยงเด็กทารกที่อายุเกิน
6 ขวบ เพื่อช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตได้เร็วและแข็งแรง
·อุดมไปด้วยธาตุทองแดง
จึงช่วยบำรุงเส้นผมและผิวหนังได้เป็นอย่างดี
·ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
·ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
·มีธาตุแมกนีเซียมในปริมาณมาก
จึงช่วยบำรุงสุขภาพเหงือก สุขภาพฟันและกระดูกให้แข็งแรง
ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุได้
·การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นประจำจะช่วยลดป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
·แมกนีเซียมจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์สามารถช่วยให้ลดความดันโลหิตได้
·เมล็ดมีกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณมาก
จึงช่วยในการป้องกันโรคไขมันตับและไม่สะสมในร่างกายมากจนเกินไป จึงไม่ทำให้อ้วน
·เม็ดมะม่วงหิมพานต์มีแมกนีเซียมสูง
โดยแร่ธาตุชนิดจะช่วยในการทำงานของหัวใจ
มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงาน
ช่วยป้องอาการหมดเรี่ยวแรงได้เป็นอย่างดี
·ช่วยรักษาโรคฟันผุ บรรเทาอาการเสียวฟัน
หรือปวดฟันได้ เนื่องจากเม็ดมะม่วงหิมพานต์มีกรดอนาร์ดิก
ที่มีคุณสมบัติช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุของโรคฟันผุได้
แต่อย่างไรก็ดีการแปลงฟันก็ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เนื่องจากกรดชนิดนี้จะออกฤทธิ์เพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น (ชาร์ลส์เวเบอร์
นักวิทยาศาสตร์จากนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา)
·กรดอนาร์ดิกในเม็ดมะม่วงหิมพานต์
สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโรคอื่น ๆได้ เช่น วัณโรค โรคเรื้อน
กำจัดเชื้อโรคที่พบในสิว เป็นต้น (ชาร์ลส์เวเบอร์ นักวิทยาศาสตร์จากนอร์ทแคโรไลนา
สหรัฐอเมริกา)
·เมล็ดนำมาคั่วโรยเกลือรับประทานเป็นยาแก้อาการบวมน้ำได้
(เมล็ดคั่ว)
·การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะช่วยในการย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี
(เมล็ด)
·น้ำคั้นจากผล
ใช้ดื่มเป็นยาขับปัสสาวะได้ (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม) (น้ำคั้นจากผล,เมล็ดคั่ว)
·การรับประทานเม็ดมะม่วงหิมพานต์จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนิ่วได้
(เมล็ด)
ประโยชน์ของมะม่วงหิมพานต์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพต่าง
ๆ ได้ดี
·มะม่วงหิมพานต์ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี
·เม็ดมะม่วงหิมพานต์
สามารถช่วยรักษารูปร่างให้สมส่วนได้ เพราะมีเส้นใยอาหารสูง
จึงช่วยลดการดูดซึมไขมันได้
·การรับประทานถั่วเป็นประจำจะช่วยทำให้อิ่มนานขึ้นและรับประทานอาหารได้น้อยลงอีกด้วย
(ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม)
·เม็ดมะม่วงหิมพานต์เป็นผลไม้ที่ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร
เพราะเป็นผลไม้ที่มีสารพิวรีนน้อยหรือไม่มีเลย
3.
สรรพคุณของเมล็ดทานตะวัน
·ลดความดันโลหิตสูง
ยับยั้งการก่อมะเร็ง ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
·ช่วยทำให้อวัยวะภายในร่างกายชุ่มชื้น
·ช่วยขับหนองใน
·เมล็ดใช้เป็นยาบำรุงตับและไต
·เป็นแหล่งโปรตีนที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี
·เมื่อนำมาบดจะได้แป้งสีขาว
มีไขมันสูงและมีโปรตีนมากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณแป้ง
·มีธาตุเหล็กสูงไม่แพ้ธาตุเหล็กที่ได้จากไข่แดงหรือตับของสัตว์อีกด้วย
·เหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ
·เมล็ดทานตะวันมีคุณค่าทางโภชนาการสูง
โดยประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส อีกทั้งยังวิตามินเอ
วิตามินบี2 วิตามินอี และวิตามินเค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินอีจะมีมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ
(โดยประโยชน์ของวิตามินอีนั้นจะช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยรักษาผิวพรรณให้แลดูสดใส เยาว์วัย ช่วยทำให้ระบบสืบพันธุ์เป็นปกติ
ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด ช่วยป้องกันหัวใจวาย ช่วยบำรุงสายตา
และยังอาจช่วยชะลอการเกิดต้อกระจกด้วยก็เป็นได้ (พ.ญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต)
·ช่วยป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น
และช่วยป้องกันและต่อต้านสารเคมีที่เป็นพิษที่จะก่อให้เกิดมะเร็งในปาก
คุณค่าทางโภชนาการของเมล็ดทานตะวันอบแห้ง
ต่อ 100 กรัม
พลังงาน
584 กิโลแคลอรี่
29%
คาร์โบไฮเดรต
20 กรัม
15%
โปรตีน
20.78 กรัม 37%
ไขมัน
51.46 กรัม 172%
ใยอาหาร
8.6 กรัม
23%
วิตามินเอ
50 หน่วยสากล
1.6%
วิตามินบี1
1.480 มิลลิกรัม
123%
วิตามินบี2
0.355 มิลลิกรัม
27%
วิตามินบี3
8.335 มิลลิกรัม
52%
วิตามินบี5
1.130 มิลลิกรัม
22%
วิตามินบี6
1.345 มิลลิกรัม
103%
วิตามินบี9
227 ไมโครกรัม
57%
วิตามินซี
1.4 มิลลิกรัม
2%
วิตามินอี
35.17 มิลลิกรัม
234%
ธาตุแคลเซียม
78 มิลลิกรัม
8%
ธาตุเหล็ก
5.25 มิลลิกรัม
63%
ธาตุแมกนีเซียม
325 มิลลิกรัม 81%
ธาตุแมงกานีส
1.950 มิลลิกรัม
85%
ธาตุฟอสฟอรัส
660 มิลลิกรัม
94%
ธาตุโพแทสเซียม
645 มิลลิกรัม 14%
ธาตุโซเดียม
9 มิลลิกรัม
1%
ธาตุสังกะสี
5.00 มิลลิกรัม 45%
ธาตุทองแดง
1.800 มิลลิกรัม 200%
ธาตุซีลีเนียม
53 ไมโครกรัม
96%
%
ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
4.
แครนเบอร์รี่(cranberry)แครนเบอร์รี่(Vacciniummacrocarpon) เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งมี
ลักษณะเป็นไม้เลื้อย
นิยมปลูกเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกา ผลแครนเบอร์รี่มีสีแดงสด
และมีรสเปรี้ยวอมหวาน
แครนเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง
และประกอบไปด้วยสารพฤกษเคมี ที่ออกฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
สารพฤกษเคมีที่สำคัญในแครนเบอร์รี่ ได้แก่ Proanthocyanidins, Catechins, Triterpenoids,
Quinic acid, Hippuric acid และTannin โดยเฉพาะ
Proanthocyannidinsซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
และยังสามารถป้องกันการยึดเกาะของแบคทีเรียกับเนื้อเยื่อในร่างกาย
ด้วยเหตุนี้แครนเบอร์รี่จึงถูกนำไปใช้ในรักษาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แผลในกระเพาะอาหาร และการเกิดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟัน
การรับประทานสารสกัดจากแครนเบอร์รี่วันละ
800 มิลลิกรัม จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายแข็งแรง
เนื่องจากในแครนเบอร์รี่มีวิตามินซีสูง
นอกจากนี้ วิตามินซีในแครนเบอร์รี่ยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น สารสกัดจากผลเบอร์รี่
อย่างแครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารฟลาโวนอยด์ที่ชื่อโปรแอนโธไซยานิดินส์(proanthocyanidins, PACs) สามารถเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนได้
ในผลแครนเบอร์รี่
ให้สารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายโดยเฉพาะ การออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา มีสุขภาพผิวที่ดี
คุณประโยชน์ของแครนเบอร์รี่ ในด้านต่างๆ โดยสรุปดังนี้
·ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
·ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในปัสสาวะลง
·มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
·กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
·วิตามินซีในแครนเบอร์รี่ยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น
·สามารถเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน
·แครนเบอร์รี่ยังช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมอง
·ช่วยป้องกันโรคเหงือก
·แผลในช่องท้อง
·การยับยั้งและป้องกันการเกิดก้อนนิ่วในไต
·ช่วยในด้านการป้องกันมะเร็ง
ต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์
·ช่วยลดไขมันไม่ดี(LDL)ในเลือด
·ช่วยลดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ติดเชื้อ ในท่อปัสสาวะ
·ขจัดกลิ่นในปัสสสาวะ
·เป็นตัวยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอีโคไล
(E.coli)
5.
ลูกเกดผลไม้อบแห้งที่เป็นที่นิยมและรู้จักของคนทั่วโลกด้วยรสชาติหอม
หวาน
ลูกเกด คือ องุ่นพันธุ์ raisin ที่ปลูกเพื่อใช้ผลทำลูกเกดไม่มีเมล็ด
รสหวานนำไปตากแดด ซึ่งจะได้ลูกเกดที่มีสีดำ
หรือทำการอบแห้งด้วยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะได้ลูกเกดสีทอง รู้หรือไม่ว่า อาหารคาว
หวานที่มีส่วนผสมจากลูกเกดหลายเมนูที่หลายคนชื่นชอบนั้น ไม่เพียงแต่มีรสชาติอร่อยลิ้น
ทว่าแฝงด้วยคุณค่าทางโภชนาการต่อสุขภาพอีกด้วย
ริชาร์ด ลิว
ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการค้า
คณะกรรมการส่งเสริมการส่งออกลูกเกดแคลิฟอร์เนียในประเทศไทย อธิบายว่า ใน
ลูกเกดไม่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล มีสารแอนตี้ออกซิแดนซ์
ยับยั้งการเกิดโรคความเสื่อมทั้งหลาย มีธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม สูง
แถมยังมีแร่ธาตุและวิตามินที่ดีต่อสุขภาพคือ มีวิตามิน A วิตามิน
C ธาตุเหล็ก แคลเซียม โปรแตสเซียม แมกนีเซียม ไนอาซินโฟลาซิน
และไฟเบอร์สูง ช่วยในการขับถ่าย
ความหวานในลูกเกด
เกิดจากน้ำตาลฟรุกโตสซึ่งเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยว ที่สามารถดูดซึมได้
โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยในระบบทางเดินอาหาร เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เด็ก
และบุคคลทุกวัย
ผู้รักสุขภาพสามารถนำลูกเกดไปปรุงเป็นอาหารเพื่อคุมน้ำหนักเพราะจะไปเพิ่มธาตุเหล็กและช่วยในการส่งออกซิเจนไปตามกระแสเลือดในผู้ที่ชอบออกกำลังกาย
6.
งาขาว-งาดำงา
เป็นพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมายที่ใครหลาย ๆ คนอาจคาดไม่ถึง
เพราะเห็นเป็นพืชเมล็ด
เล็ก ๆ เท่านั้น แต่คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า เจ้าพืชเมล็ดจิ๋วนี้ที่
สามารถช่วยรักษาโรคต่าง ๆ ได้มากมาย แถมยังสามารถนำมาบำรุงผมให้ดกดำและบำรุงผิวพรรณให้สวยงาม
ได้อีกด้วย
ปัจจุบันมีการวิจัยค้นคว้าถึง คุณประโยชน์ของ “งา” กันมากขึ้น ซึ่งงาที่เรารู้จักกันมี 2 สี ได้แก่ งาขาวและงาดำ
จากการศึกษาพบว่าในงามีสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายหลายด้าน ได้แก่
สรรพคุณทางยา คือ แก้ปัสสาวะ อุจจาระขัด น้ำมันงาช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม
โดยไปเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตรอบ ๆ รูขุมขนบนหนังศีรษะ
เพิ่มความชุ่มชื้นบำรุงเส้นผม
นอกจากนี้สารอาหารในงายังอุดมไปด้วย วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5
บี 6 บี 9 และวิตามิน ไบโอติน
โคลีน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยบำรุงประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ ส่วนกรดไขมันไลโนลีอิกที่มีอยู่มากในงานั้นก็เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี ที่สำคัญงายังเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ธาตุไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก ธาตุสังกะสี บำรุงผิวหนัง ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในงามีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักชนิดอื่นถึง 20 เท่า ซึ่งธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญมาก ในการเสริมสร้างกระดูก
โคลีน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยบำรุงประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ ส่วนกรดไขมันไลโนลีอิกที่มีอยู่มากในงานั้นก็เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี ที่สำคัญงายังเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก บำรุงเลือด ธาตุไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก ธาตุสังกะสี บำรุงผิวหนัง ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในงามีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักชนิดอื่นถึง 20 เท่า ซึ่งธาตุทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญมาก ในการเสริมสร้างกระดูก
คนที่มักมีอาการ นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย
งายังเป็นอาหารที่สามารถช่วยบำรุงกำลังได้เป็นอย่างดีและยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันอาการท้องผูก
รักษาอาการนอนไม่หลับ และยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป
ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว
ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิดได้อีกด้วย
7.
น้ำผึ้งคือน้ำหวานที่ผึ้งเก็บมาจากต่อมน้ำหวานของดอกไม้
โดยผึ้งจะกลืนน้ำหวานลงสู่กระเพาะ
น้ำหวาน
ซึ่งจะมีเอนไซม์ช่วยย่อยน้ำหวานแล้วนำมาเก็บไว้ในหลอดรวงผึ้ง
จากนั้นน้ำผึ้งค่อยๆบ่มตัวเองโดยการระเหยน้ำออกไปจนน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตามที่เข้มข้นขึ้นจนได้ระดับที่เหมาะสมกับการเก็บรักษาผึ้งงานก็จะปิดฝาหลอดรวง
เราเรียกน้ำผึ้งนี้ว่า "น้ำผึ้งสุก" เป็นน้ำผึ้งที่ได้มาตรฐาน
คือมีน้ำอยู่ไม่เกินร้อยละ 20-21 แต่ถ้าหากเก็บน้ำผึ้งในหน้าที่มีน้ำมากไม่มีการระเหยน้ำออกมาให้อยู่ในมาตรฐานอาจทำให้เกิดกระบวนการหมัก
ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวและเกิดแก๊สขึ้น
อาจมีการระเบิดได้ถ้าเก็บไว้ในขวดแก้วที่ปิดสนิท
ดังนั้นคนโบราณจึงนิยมให้ใช้น้ำผึ้งเดือนห้า
เพราะปริมาณน้ำน้อยและมีดอกไม้หลายชนิดบานในช่วงเวลาดังกล่าว
มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง
จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ
เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่
และกรดอะมิโน
น้ำผึ้งยาอายุวัฒนะของทุกชนชาติ
ทุกชนชาติทั้งจีน
ยุโรป เอเชีย แอฟริกา อินเดียต่างมีความเชื่อร่วมกันว่า
น้ำผึ้งมีสรรพคุณบำรุงสุขภาพและเป็นยาอายุวัฒนะ
หมออายุรเวทถือว่าน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะและไม่เพียงมีคุณค่าทางยาเท่านั้น
แต่ยังมีความสำคัญทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอีกด้วย เช่น ใช้ประกอบในพิธีกรรมต่างๆ
รวมทั้งใช้เป็นเครื่องสักการะบูชาเทพเจ้า
ทางยาหมออายุรเวทเชื่อว่าน้ำผึ้งมีสรรพคุณชำระล้างบาดแผล
รักษาแผล สมานเนื้อเยื่อ บำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง แก้ตรีโทษ ลดไขมัน บำรุงสายตา
บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล เสริมสร้างสติปัญญา และบำรุงกำหนัด
นิยมใช้ในการแก้ไอ แก้หอบหืด ร่างกายซูบโทรม รักษาอาการบาดเจ็บ
หมายถึงถูกกระทบกระแทกแล้วร่างกายบอบช้ำ ทั้งยังใช้แก้อาเจียน แก้สะอึก วิงเวียน
มึนงง แก้ท้องเสีย (ใช้น้ำผึ้งเก่า) แก้อาการเลือดออกง่าย แก้กระหาย เป็นลม
รักษาโรคเกี่ยวกับตา แก้พิษ และรักษาโรคพยาธิ เป็นต้น
เวลาใช้จริงส่วนใหญ่มักไม่ใช้น้ำผึ้งอย่างเดียวล้วนๆ แต่จะผสมในยากวนบ้าง
ผสมในยาดอง หรือไม่ก็ใช้เป็นกระสายยา และยังใช้น้ำผึ้งผสมเพื่อให้กินง่ายขึ้น
สารสำคัญในน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 20 น้ำตาลชนิดต่างๆ เช่น
กลูโคส ฟรักโทส และลีวูโลส ประมาณร้อยละ 79 โดยมีปริมาณน้ำตาล "ฟรักโทส"
มากกว่าน้ำตาล "กลูโคส" เล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก
และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่นๆ
กรดชนิดต่างๆ ประมาณร้อยละ 0.5
ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยโดยกรดที่พบมาก คือ กรดกลูโคนิก วิตามิน
(ไรโบฟลาวินไนอะซิน) เอนไซม์ และแร่ธาตุ (แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส)
ประมาณร้อยละ 0.5 โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้ม
จะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน
ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์ประกอบหลักของน้ำผึ้ง คือน้ำตาล
และเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและนำไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย โดยน้ำผึ้ง 100 กรัม จะให้พลังงาน
303 แคลอรี
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติทางยาคือ
สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ได้ เพราะน้ำผึ้งมีความเข้มข้นของน้ำตาลสูง
ซึ่งความเข้มข้นนี้เองจะช่วยกำจัดปริมาณน้ำที่แบคทีเรียใช้ในการเจริญเติบโต
รวมถึงน้ำผึ้งมีความเป็นกรดสูง และมีปริมาณโปรตีนต่ำ ซึ่งทำให้แบคทีเรียไม่ได้รับไนโตรเจนที่จำเป็น
นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีสารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์
และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียด้วย
ดังนั้นเมื่อเราใช้น้ำผึ้งทาบาดแผลจึงสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้และทำให้แผลไม่เกิดการอักเสบ
เอนไซม์ในน้ำผึ้งมีหลายชนิด
มีหน้าที่ช่วยย่อยคาร์โบไฮเดรตได้ น้ำผึ้งจึงมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
และแก้อาการท้องผูกในเด็กและผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี
คุณประโยชน์ของธัญพืชอบกรอบ“F&F by แม่ก้อย”
กราโนล่า (Granola)คืออาหารตะวันตกอย่างหนึ่งที่อาจจัดให้เป็นได้ทั้งอาหารเช้าจำพวกซีเรียลหรือเป็นขนมทานเล่นก็ได้ ประกอบไปด้วยข้าวโอ๊ต ถั่ว น้ำผึ้ง ผสมเข้าด้วยกันและอบจนกรอบ บางครั้งก็มีการเพิ่มผลไม้แห้ง ลูกเกด หรืออินทผลัมลงไปด้วย ถ้ามีการคนระหว่างอบ กราโนล่าจะไม่เกาะกันมากนัก เหมาะสำหรับเป็นอาหารเช้า
กราโนล่าให้พลังงานมาก (มีแคลอรีสูง) น้ำหนักเบา เก็บได้นาน จึงมักถูกนำไปเป็นเสบียงระหว่างการเดินทางเหมือนกับมึสลีสามารถนำไปทานคู่กับโยเกิร์ต น้ำผึ้ง ผลไม้สด นม ซีเรียล หรือจะใช้แต่งหน้าขนมก็ได้
เข้าใจง่ายๆ กราโนล่า ก็คือ อาหารที่ทำมาจากธัญพีชไม่ขัดสี อบรวมกันจนหอม กรุบกรอบ รสชาติหวานนิดๆ ส่วนใหญ่จะเอามากินคู่กับนม หรือโยเกิร์ต แต่ด้วยความกรุบกรอบ ทำให้เราเอามากินเป็นขนมได้ด้วย!!! ตามความเข้าใจ กราโลน่า เป็นอาหารที่ให้พลังงานเยอะมาก ปริมาณแค่ 1 ชาม อาจให้พลังงานมากถึง 500 แคลอรี่ เนื่องจากกราโนล่าทำมาจากธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมีไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มได้นาน เป็นแหล่งเส้นใยที่ดีที่สุดที่ช่วยลดอาการเส้นเลือดอุดตันจากคลอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี แถมยังย่อยช้า ทำให้ดูดซึมช้า เปลี่ยนไปเป็นพลังงานอย่างช้าๆ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะแปลงสภาพเป็นกลูโคส ทำให้มีการปล่อยพลังงานชั้นดี ออกมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและระดับน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มคงที่สม่ำเสมอทำให้มีพลังงานต่อเนื่อง ไม่หิวบ่อย คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมีในผัก ผลไม้ โฮลวีทโฮลเกรน ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ
คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ง่ายและเกือบจะทันทีที่กินเข้าไป เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างฉับพลัน ทำให้รู้สึกมีพลังงานขึ้นทันที น้ำตาลก็คือพลังงานของร่างกายแต่เมื่อมีพลังงานเข้าสู่ร่างกายปริมาณมากเกินไป พลังงานส่วนเกินก็จะถูกแปรรูปเป็นไขมันเพื่อสะสมเป็นพลังงานสำรองทำให้มีไขมันสะสมตามส่วนต่างๆของ ร่างกายมากขึ้น และเมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเกินไปตับอ่อนก็จะผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมาเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติ แต่ถ้าเราทานแป้งขัดขาวมากจนเป็นนิสัย ตับอ่อนก็จะทำงานบ่อยครั้งขึ้น เมื่อถึงจุดที่ฮอร์โมนอินซูลินถูกผลิตออกมามากจนเกินไป จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างรวดเร็วและทำ ให้รู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าเดิม ถ้าเป็นมากอาจหน้ามืดเป็นลม ซึ่งเป็นกระบวนการที่นำไปสู่การเป็นเบาหวาน คือการผลิตฮอร์โมนอินซูลินบกพร่อง คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวมีในแป้งขัดขาว ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาล พาสต้า น้ำอัดลม หรือ ผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผ่านการแปรรูป
บรรณานุกรม